B2Y02

79392c600b63773d5de5ae7cbd646c9c.png

วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไอ้เด็กเฮ็งซวย

" นี่มึงเซ็ตเป็นมั้ยวอลเลย์อ่ะ " ผมหันไปต่อว่าเด็กคนหนึ่งที่มันไม่เคยรับลูกวอลเลย์ได้เลยซึ่งตำแหน่งของมัน ก็เล่นวอลเลย์เป็นตัวบีหลัง ( เอ หรือลิบอลโล หว่า )
" แบบนี้ใช่มั้ยครับพี่ " มันตอบกลับกวนๆ พร้อมแกล้งเอาเสื้อเช็ดลูกวอลเลย์
" ป่ะมึงล่ะ นั่นเค้าเรียกเช็ด กวนว่ะ "
และเกมส์ยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
" ปั๊ก " เสียงลูกบอลกระแทกหน้ามันเข้าอย่างจัง ทำให้มันกระเด็นถอยหลังไปไกลเป็นเมตร
" สม !! ไงละมึง ลูกตบมึงยังจะเซตรับเนอะ " 555
   เรื่อง ของเรื่องคือ ผมชื่อบีครับ เรียนอยู่ที่ม.รามคำแหง ปี ๒ ผมทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย หลังจากสอบเทอม ๒ เสร็จ ผมก็กลับบ้านเหมือนเด็กมหาลัยทั่วไป ทีแรกผมตั้งใจจะเปลี่ยนงานอยู่แล้ว แต่พอดีช่วงจังหวะปิดเทอมด้วยผมเลยตัดสินใจลาออกจากงานซะเลย แล้วกะว่ากลับมาอยู่บ้านซัก ๒ เดือน
ในระหว่างที่ผมกลับบ้าน ผมก็ไปเล่นกีฬาที่โรงเรียนแถวบ้านตอนเย็นๆตามประสาวัยรุ่นชายทั่วไป และที่โรงเรียนก็มีกีฬาเกือบทุกรูปแบบครับ ฟุตบอล ตะกร้อ เปตอง วอลเลย์บอล
จริงๆ ผมเป็นเด็กเรียนน่ะ และเด็กเรียนส่วนมากก็ไม่ฝักไฝ่เรื่องกีฬาเท่าไหร่ แต่ผมแปลกกว่าชาวบ้านนิดหนึ่งคือ ผมเล่นได้ทุกรูปแบบครับ แต่ก็ไม่เก่งซักอย่างอ่ะน่ะ วันก่อนเล่นบอล เมื่อวานเล่นตะกร้อ เผอิญวันนี้เล่นวอลเลย์ไรงี้ และไอ้พวกที่เล่นบอลเลย์ส่วนมากก็มีแต่พวกผู้ชาย แมนๆ เถื่อนๆ เหมือนกันนี่แหละครับ ฝ่ายตรงข้ามตบลูกมาทีนี่ แขนสั่นขาสั่นไปหมดโดยเฉพาะคนตัวเล็กอย่างผม (จริงๆ ผมไม่ได้ตัวเล็กอะไรมาก แต่หุ่นผมมันบางเหมือนผู้หญิงประมาณนั้น ตอนสมัยมัธยม เคยมีเพื่อนล้อบ่อยๆ " เฮ้ย กูว่าถ้ามึงแต่งตัวเป็นผู้หญิงนะ หุ่นมึงแมร่งคงดึงดูดอารมณ์ทางเพศน่าดู 5555"  และผมก็มักจะตอบมันไปเสมอ " สัดละ นี่ขนาดกูผู้ชายมึงยังหื่นขนาดนี้ ถ้าวันดีคืนดีกูแต่งหญิงขึ้นมา กูจะไม่โดนพวกมรึงดักปล้ำที่ประตูหน้า รร. เลยเหรอ " ) และฝ่ายผมก็จะมีตัวอ่อนที่สุดอยู่ตัวหนึ่ง เป็นเด็กม.ต้น ผิวขาว ผมเกรียน ตัวเล็ก ๆ  ถ้าไอ้เด็กนี่ได้เสริฟลูกน่ะ ลูกไม่เคยข้ามหรอกครับ ไม่ติดก็ลอดตาข่าย ที่สำคัญมันเป็นตัวหลัง  อย่าว่าแต่รับลูกตบฮ่ะ แค่ฝ่ายตรงข้ามเสริฟลูกมามันยังรับไม่ได้เลย
ไอ้นี่ผมเห็นมันเล่นบอล เล่นตะกร้อเก่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าจู่มันจะมาเล่นวอลเลย์บอล ซึ่งเป็นกีฬาที่มันเล่นไม่เป็นทำซากอะไรก็ไม่รู้ มีจังหวะหนึ่งที่ฝ่ายตรงข้ามไอ้อ้วนๆตัวใหญ่ๆตบลูกมา ก็ไม่รู้ว่ามันตั้งท่ารับแบบไหน  มันพลาดครับ มันรับลูกตบด้วยการเซ็ต วอลเลย์กระแทกเข้ากลางหน้าเข้าอย่างจัง มันกระเด็นไปไกลเกือบเมตร (ยอมรับครับว่าวอลย์เลย์ที่เล่นกันวันนั้น มันเล่นกันรุนแรงมาก ภาพเหตุการณ์นั้นยังติดตาผมอยู่จนถึงทุกวันนี้) หลังจากที่มันกระเด็นแล้วมันนิ่งอยู่เกือบ ๓ วิ ทีแรกผมก็นึกว่ามันสลบ พอลุกขึ้นมาได้ โหสภาพ เลือดกำเดาไหล ปากก็มีเลือดออก เห็นแล้วอนารถมาก โดนขนาดนี้ถ้าเป็นเด็กประถมน่ะ ร้องไห้ไปแล้ว ผมเลยอาสาพามันไปล้างหน้าล้างตาที่ปลายตึกอีกด้าน ส่วนคนอื่นก็เล่นกันต่อไป
ระหว่างที่เดินกึ่งพยุงพามันไปที่ก๊อกน้ำ
" โง่หรือแกล้งโง่กันแน่ว่ะห่ะ รับลูกตบด้วยการเซต ไม่นิ้วหักก็หน้าแหก แต่แมร่งสุดท้าย หน้าแหก สมน้ำหน้าว่ะ " ผมล้อมัน
" รู้งี้ผมยอมนิ้วหักดีกว่า หน้าแหกเจ็บจัง " น้ำเสียงมันตอบเหมือนจะเจ็บใจมากกว่าเจ็บหน้า
"มึงเล่นไม่เป็น แล้วมึงจะเข้ามาเล่นทำ(ห่า)ไรเนีย ทำไมมึงไม่ไปเล่นกีฬาอย่างอื่นที่มึงเล่นเป็น ห่ะ"   ผมถามเชิงด่ามันไป
"คงไม่มีใครเล่นป็นมาแต่เกิดหรอก ใช่มั้ยครับ ครั้งแรกก็แบบนี้" มันตอบกลับ
"เออ ครั้งแรก ๆ แต่ครั้งแรกของมึงไม่ควรมาอยู่สนามนี้ มึงดูตัวตบแต่ละตัวดิ ไอ้รุ่นตบตาข่ายทะลุกันทั้งนั้น "  ผมเถียงมันไป
" แต่พี่เห็นม้า ทุกครั้งที่ผมเสริฟ ไม่มีใครรับลูกผมได้ "  มันพูดเอาตลก
" เออ ก็แหงล่ะ ไอ้เล่นเสริฟไม่เคยข้ามแบบเนีย จะมีใครบ้าไปรับลูกของมึง 555 " ผมตอบมันไป ทำเอาทั้งผมและมันหัวเราะกันอย่างกลั้นไม่อยู่
" มึงชื่อเต้ยใช่ม่ะ ไง อยู่ป.ไรแล้วละมึง ไมตัวเล็กจัง " ผมถามมันไป
" ทำอย่างกะพี่ตัวใหญ่นักแหละ ถ้าพี่รุ่นเดียวกับผม ผมว่าพี่ตัวเล้กกว่าผมอีกมั้ง 5555
ผมอยู่ม. ๓ ฮ่ะ "
" อ้าว ล้างเลือดออกซะ อ้าวนี่ผ้าเช็ดหน้า  " ผมยื่นผ้าเช็ดหน้าให้มันพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำให้
" ขอบคุณคร้าบ " มันพูดขอบคุณพร้อมกับหันมายิ้มด้วยปากที่เต็มไปด้วยเลือด สภาพหน้าอย่างกะปอบที่พึ่งขโมยกินไก่ชาวบ้านมาหมาดๆ หลังจากนั้นมันเลยก้มๆ เงยๆ ทั้งล้างทั้งเช็ดอยู่พักใหญ่
" เจ่อ แน่มึงหน้าเจ่อแน่ พรุ่งนี้มึงหน้าเปลี่ยนแน่ " ผมล้อมัน
" หล่อขึ้นเหรอครับพี่ " มันตอบ
" หล่อป่ะมึงซี สภาพนี้ คางคกแหงๆ "
" โห พี่อ่ะ " มันทำหน้างอนๆ
" ออกหมดยังครับพี่ " มันถามหลังจากก้มๆ เงยๆล้างหน้าอยู่พักใหญ่
" อะไรหมด ถ้าหมายถึงหน้าละก็ ดั้งหัก จมูกก็บี้ ฟันก็หลุดหมดแล้ว ไม่เหลือแล้วหล่ะ" ผมกวนมันไป
" ผมหมายถึงคราบเลือด " มันตอบแบบจริงจัง
" เออ ติดอยู่ตรงนี้นิดหนึ่ง มานี่กูจะเช็ดออกให้ " ผมพูดพร้อมกับหยิบเอาผ้าจากมือมัน แล้วเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่ตรงร่องแก้มออกให้มัน
" พี่ เบาๆ เจ็บ พี่ เจ็บ " มันร้องลั่น
" สำออยว่ะมึง " ผมด่ามัน พร้อมกับเช็ดเบามือลง
" อ่ะ ออกหมดแล้ว ผ้านี่กูเอาให้ ไม่ต้องคืน " ผมบอกมันพร้อมกับยื่นผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือดให้มัน
" แล้วผมจะซักมาให้น่ะ " มันบอกผม แต่ผมก็แค่พยักหน้า ประมาณว่าเรื่องของมึง
" นี่ก็เริ่มมืดแล้ว กูกลับล่ะ "  ผมขอตัวกลับพร้อมกับหันหลังเดินไปที่รถมอไซต์ที่จอดอยู่หน้า รร.
" พรุ่งนี้มาเล่นใหม่นะพี่ " มันโบกมืออำลา
   วัน แล้ววันเล่าที่ผมไปเล่นกีฬาที่โรงเรียนแห่งนี้ ไม่ว่าผมจะเล่นอะไร ก็มักจะเห็นมันมาเล่นด้วยเสมอ (จริงๆ ถ้าสังเกตให้ดี ผมเห็นมันเล่นตามผมตั้งแต่ สองสามวันแรกแล้ว )แต่ผมไม่ค่อยได้พูดกับมันหรอก นอกจากมันเท่านั้นที่พยายามชวนผมคุย บางทีผมก็ไม่เล่นกีฬา แต่กลับไปนั่งเอาโทรศัพท์ดูดไวเลส (wifi) เล่น มันก็มักจะมานั่งเล่นด้วย มาคอยยุคอยแหย่ แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะได้ดีทีเดียว เพราะมันตลกดี บางวันที่ผมไปช้าหรือเกือบมืด (ไปดึงเน็ตโหลดเพลง) ผมมักจะไม่เห็นมันเล่นกีฬาหรอก แต่จะเห็นมันนั่งซึมๆ อยู่คนเดียว แต่ทันทีที่มันเห็นผม มันจะเปลี่ยนไปเหมือนต้นไม้ได้น้ำทันที
   วันหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะมืดแล้วผมขอตัวกลับ แล้วเดินไปที่รถมอไซต์ที่จอดอยู่หน้าโรงเรียน
" รอด้วยครับพี่ ผมติดรถพี่กลับด้วย " แน่นอนครับ ไม่ใช่ใคร นั่นมันไอ้เต้ย  ในเวลาไม่กี่วิต่อมามันก็วิ่งมาประชิดตัวผม เพื่อที่จะเดินไปที่รถด้วยกัน
" บ้านมึงอยู่ที่ไหนว่ะ ทางเดียวกับบ้านกูเหรอ " ผมถามมัน (จริงๆ ผมไม่เคยรู้จักไอ้นี่มาก่อนหรอกครับ อาจเพราะมันคนละรุ่นกัน ห่างกัน 6-7 ปี ผมอยู่มัธยม มันอยู่ประถม ผมจบมัธยม มันพึ่งขึ้นมัธยมไรงี้ เลยไม่รู้ว่ามันเป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ไหน )
" เหดี๋ยวพี่ก็รู้เองแหละ " มันตอบ
" เออ ๆ ซ้อนท้ายกูไปก็ได้ ถ้าถึงแล้วก็บอกกูละกัน " ผมบอกมันไป
   หลังจากนั้นผมกับมันก็ขี่รถกลับบ้าน ผมขับ มันซ้อนท้าย แต่ผมสังเกตว่า มันกอดเอวผมแน่นแล้วเอาหน้ามาแนบหลังผมด้วย
" อย่ากอดกูแน่นนักดิโว้ย กูไม่ชอบ มันจั๊กจี้ว่ะ "
" ผมกลัวตกอ่ะพี่ "
" สะตอเกินไปล่ะ เด็กอนุบาลยังไม่กอดกูขนาดนี้เลย กูไม่พามึงบินหรอก ถอยไป " ผมบอกให้มันปล่อยแล้วขยับไปข้างหลัง แต่มันไม่ปล่อยฮ่ะ มันยังคงกอดแล้วเอาหน้าแนบชิดหลังผมเหมือนเดิม ผมเลยเลี้ยวรถเข้าไปในซอยเล็กๆ ที่สองข้างทางเป็นทุ่งนาสีเขียว
" นี่มึงคิดอะไรกะกูอยู่หรือเปล่า " 
" คิดคร้าบ " มันตอบตรงเผลง ไม่มีทีท่าเขินอาย
" ห่ะ คิด คิดบ้าไรมึง "  ผมถามเชิงไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูด
" ผม ช ชอบพี่คับ " มันตอบสดุดนิดหนึ่ง และจังหว่ะนี้หน้ามันก็แดงนิดๆ
เฮ้ย ได้ไง กูไม่อยากเป็นชู้กับมึง กูมีแฟนแล้ว แฟนกูสวยด้วย " (แฟนสาวที่คบกับผมตั้งแต่ ม.5 ) แรกๆผมก็นึกว่ามันเล่นด้วย เลยเล่นไปกับมัน
" พี่มีแฟนกะเค้าด้วยเหรอ ? ใครคนนั้นต้องโชคร้ายที่ซู้ด " มันพูดแนวปะเหลาะ
" พี่ผมขอเบอร์หน่อย " มันถาม แสดงสีหน้าแนวคาดคั้น เมื่อเห็นว่าผมเล่นด้วย
" เรื่องไร กูไม่ห้าย " ผมตอบ
" งั้นพี่เอาเบอร์ผมไปแทนละกันน่ะ " มันพล่ามพร้อมกับล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อผม ไปแมมเบอร์มัน แต่แทนที่มันจะแมมเบอร์มันอย่างเดียว มันกลับใช้เบอร์ผมโทรเข้าเบอร์มัน
" 555 ผมได้เบอร์พี่แล้ว ว่างๆจะโทรไปจีบ ว่าแต่ตอนนี้เรากลับกันเหอะ "
เลว แต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรน่ะ ถ้ามันอยากได้ก็ให้มันเอาไป มันจะทำไรได้นอกจากโทรมา
หลังจากนั้นผมจึงขับรถพามันกลับบ้าน เมื่อขับมาถึงบ้านผม
"ถึงละบ้านกู ส่วนมึงเดินต่อไปเองละกัน" ผมโหดร้ายมาก
" คร้าบ ก็ได้ เดินไปเองก็ได้ ขอบคุณที่ให้ผมติดรถกลับมาด้วยน่ะ 555 " มันทำความเคารพท่าลูกเสือสามัญ 3 นิ้ว แล้วมันก็เดินแกมวิ่ง...กลับไปทางเดิม
จริงๆผมเอะใจอยู่นิดๆ ว่ามันวิ่งกลับไปทางเดิมทำไม สงสัยจะเลยบ้านมันมามั้ง และถ้าเลยมา ทำไมมันไม่บอกผมล่ะ แต่ช่างเหอะไม่อยู่ในความสนใจ และหลังจากวันนั้นผมไม่ได้ไปที่รร. อีกเลย
   และมันก็เป็นอย่างพล่ามไว้ หลังจากที่มันได้เบอร์ผมไป มันก็โทรมาจริงๆ โทรมาบ่อยมาก ทุกวัน และยอมรับครับว่ารำคาญมาก โทรมาบ่อยกว่าแฟนผมซะอีก ตัดสายก็แล้ว ไม่รับก็แล้วก็ยังดื้อโทรมา แต่อย่างน้อยๆ มันก็คุยค่อนข้างสนุก โทรมาทีก็ชวนคุยเรื่องนั้น เรื่องนี้ เล่าเรื่องผี (ผมชอบน่ะเรื่องผีๆ) จนผ่านไปหลายอาทิตย์ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมมีปัญหากับแฟน แฟนสงสัยว่าโทรมาทีไรสายไม่ค่อยจะว่างหรือบางครั้งก็ปิดเครื่องทุกที จนเมื่อมีปัญหามันบานปลายหนักขึ้น ๆ จนถึงขั้นแฟนบอกอย่าพึ่งมาคุยกันเลยในช่วงนี้ (ดูดีเนอะ เหตุผล มารู้ทีหลังเค้าแอบไปมีกิ๊ก หาเรื่องเลิกกะผมอยู่แล้วไง ) มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดโมโหตัวเอง แต่ทันใดนั้น "กริ้งๆๆ" เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  ผมดีใจกระโดดไปรับโทรศัพท์ เพราะคิดว่าแฟนคงโทรมาขอคืนดี แต่ที่ไหนได้ ปลายสายกลับเป็นไอ้เด็กนั่น และด้วยความโมโห ผมเลยสาดเสียงใส่มันเต็มที่
" มึงอะ มันไอ้เฮ็งซวย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะมึง พังหมดแล้วแม่งพังหมด ไม่ต้องโทรมาอีกแล้ว ไม่ต้องติดต่อมา ไม่ต้องเอาเบอร์อื่นโทรมาด้วย ไอ้เด็กเฮงซวยเอ้ย กูไม่น่าเจอมึงเลย " แล้วผมก็ตัดสายมันทิ้ง
มันจะรู้สึกยังไงผมไม่รู้ มันยังไม่ทันได้พูดอะไรซักคำผมก็สาดโมโหใส่มันซะแล้ว มันคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ และแล้วเมื่อผ่านไปประมาณ 1 อาทิตย์ มันไม่โทรมาหาผมเลย จะว่าไปก็ดี รำคาญเหลือเกิน แต่ผมมานั่งคิดอีกที หรือว่าที่เราด่ามันแรงไป มันไม่ใช่ความผิดมันเลย เลยคิดว่าจะโทรไปขอโทษมัน จริงๆไม่ใช่อยากให้มันกลับมาโทรหาผมเหมือนเดิม แต่แค่อยากขอโทษที่ด่ามันแรงไป ( อยากบอกว่าผมพึ่งสำนึก )
" อะโหล " มันรับสายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้ง
" เสียงมึงแตกหนุ่มอีกรอบแล้วเหรอ " ผมหยอดมุขไป กะเอาตลกไว้ก่อน เผื่อขอโทษง่ายๆหน่อย
" มึงอยู่ที่ไหน "
" ผมอยู่โรงบาลครับ " มันตอบ
" มึงทำไรอยู่ ?? " ผมถามไปด้วยคำถามแบบสิ้นคิด
" นอนป่วยอยู่ครับ " มันตอบ (ไม่รู้มันตอบแบบสิ้นคิดเหมือนกันหรือเปล่า)
" นี่มึงคิดมากเรื่องที่กูด่า จนต้องเข้าโรงบาลเลยเหรอ "
" ป่าวคับ ผมเป็นไข้เลือดออก " มันตอบกลับมา 
" เออยังไงก็เหอะ กูต้องขอโทษที่ด่ามึงแรงไปวันนั้น "
" งั้นพี่มาหาผมหน่อยซิ ผมอยากเจอพี่อ่ะ อยากให้พี่อยู่ด้วย " มันถามแกมขอร้องให้ผมไปเยี่ยมไข้มัน
" นะ ๆ นะ พี่น่ะ ผมกลัวหมอ " มันพูดอ้อนอีกครั้ง
" กูไม่ไป เรื่องอะไร กูจะต้องไป หมอไม่ฆ่ามึงหรอก ทำอย่างกะแม่งอยู่ รพ. คนเดียวงั้นแหละ "
ผม กับมันก็คุยกันอยู่ไม่กี่ประโยค ผมก็วางสาย มันขอร้องให้ผมไปเยี่ยมมันแต่ผมก็ปฎิเสธที่จะไป อย่าว่าแต่ปฎิเสธเลย แค่คำถามว่า เป็นยังไงบ้าง หายดีหรือยัง กลับวันไหน ผมยังไม่ถามมันซักคำ
   สอง วันต่อมามันกลับจากโรงพยาบาล มันโทรมาบอกว่าอยากเจอผม และจะรออยู่ที่ *ซอยนั้น (ซอยที่ผมเคยพามันเข้าไปจอดรถถามมันตอนนั้น) แต่ผมปฎิเสธมัน และวางสายมันไป จนกระทั้ง เกือบจะ 4 ทุ่มผมนึกขึ้นได้ ถ้ามันไปรอผมจริงๆ ละ เมื่อนึกได้เลยลองขับรถออกไปดู ที่ผมออกไปดูไม่ใช่ว่าเป็นห่วงหรือกลัวมันรอจนไม่กลับบ้านหรืออะไรประมาณนี้ หรอก แต่ผมแค่อยากรู้ว่าผมปฎิเสธมันขนาดนั้นมันจะยังมาอยู่หรือเปล่า แต่เมื่อผมไปถึงปรากฎว่าสิ่งที่ผมเห็นคือ มันมารอผมอยู่จริงๆ ท่าทางมันซึมๆ นั่งอยู่ที่รถมอไซต์ จอดอยู่ใต้แสงนีออนส่องข้างทาง มองออกไปทางท้องทุ่งนา ทันทีที่ผมไปถึงผมจอดรถแล้วเดินไปหามัน
" ขอบคุณครับ ที่มา ผมคิดถึงพี่ ผมอยากเจอพี่ " มันพูดเสียงอ่อนๆโดยไม่หันมามองผม
" มึงให้กูมาเพราะเหตุผลแค่นี้เองใช่มั้ย น้ำเน่า นี่มึงชอบกูจริงๆ เหรอว่ะ "   ผมถามมันกลับไป แต่มันไม่ตอบอะไรครับ มันหันมาและเอาแต่ยิ้มเอื่อยๆ และผมสังเกตได้ว่าหน้ามันซีดๆ เหมือนร่างกายยังไม่ทรงตัวเท่าไหร่ ก็มันยังป่วยอยู่นี่
" นี่มึงมารอกูนานแล้วหรือเนีย "  ผมถาม
" ผมรอพี่ตั้งแต่โทรมาบอกพี่แล้วครับ " มันตอบ
โห ถ้าผมเดาเวลาไม่ผิด มันโทรมาหาผมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถ้างั้นก็แสดงว่า มันรอผมมาเกือบครึ่งคืนล่ะ และก็แหงล่ะจะไม่ให้ไข้มันขึ้นได้ไง ก็เล่นมานั่งตากน้ำค้าง ขนาดนี้ ขนาดเบาะรถยังเปียกไปด้วยน้ำค้างเลย
" นี่รถมึงเหรอเนีย กูซื้อต่อได้มั้ย กูจะเอาไปเผาทิ้ง "  ผมถามเล่นๆออกไป เพราะเห็นสภาพรถของมัน เด็กแว้นยังอาย!!! (เท่าที่ผมรู้มาทีหลัง ไอ้นี่เป็นเด็กเรียนเก่งครับ เก่งมาก ขยันเรียน แต่ในอีกด้านหนึ่งของมันก็อย่างที่เห็น สภาพรถของมันนี่บ่งบอกเด็กแว้นชัดๆ )
" ปะๆ มึงกลับบ้านมึงไปป่ะ "  ผมพูดเชิงไล่ให้มันกลับ เห็นสภาพอย่างนี้แล้วคงคุยอะไรไม่ได้มากหรอก
" คับ "  มันตอบรับโดยดี (มันคงรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วเหมือนกันมั้ง) พร้อมกับลุกขึ้นจะขับรถกลับ แต่จังหวะนั้นมันล้ม สงสัยหน้ามืด ผมเลยเดินไปพยุงมันให้ลุกขึ้น
" นี่พ่อแม่มึงไม่ดูแลมึงบ้างเลยเหรอ " ผมถามหน้าเครียด
มันนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่มันจะถอนหายใจแล้วพูดออกมา
" ผมไม่มีแม่ครับ ส่วนพ่อเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก มีน้าที่อยู่ตจว. ส่งเงินมาให้ไปรร.ครับ และช่วงปิดเทอมผมจะไปอยู่กับน้า แต่เทอมนี้ผมไม่ได้ไปครับ " คำตอบนี้ทำเอาผมอึ้งไปเลย
" แล้วมึงอยู่บ้านกับใคร "
" คนเดียวครับ "
" แล้วใครพามึงไปโรงพยาบาลตะกี้ "
" วันนั้นเวลาเย็นผมกำลังจะออกไปซื้ออาหาร แต่ผมเกิดหน้ามืดและล้มลงหน้าบ้าน ยายข้างบ้านเห็นอาการไม่ดีจึงให้ตาขับรถไปส่งโรงพยาบาลแล้วเขาก็กลับครับ "  มันตอบหน้านิ่ง แต่ความรู้สึกผมตอนนั้น สงสารมันจับใจ
" แล้วทำไมมึงไม่โทรหากู "  ผมถามแบบโง่ๆ แต่มันกลับยิ้มไม่พูดอะไร ผมรู้ว่ามันจะพูดอะไร ถ้ามันตอบผม แต่มันไม่พูด
" เออ เม้งช่างมัน ป่ะกลับบ้าน กูจะไปส่ง " แล้วผมก็พยุงมันขึ้นรถ(รถมัน) ให้มันซ้อนส่วนผมขับ แต่ผมไม่รู้ว่าบ้านมันหลังไหน ให้มันบอกทาง
แต่ แล้วสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจคือ บ้านมันถ้าแยกออกจากโรงเรียนแล้ว มันไปคนละทางกับบ้านผม พูดง่ายๆคือ โรงเรียนอยู่กึ่งกลางทางระหว่างบ้านมันกับบ้านผม ซึ่งแสดงว่า วันนั้นที่ผมปล่อยให้มันวิ่งกลับบ้านเองนั่น มันต้องวิ่งเป็นระยะทางสองเท่า คือจากบ้านผมกลับไปที่โรงเรียน และวิ่งจากโรงเรียนไปบ้านมัน ซึ่งก็ไกลมาก จะว่าไปแล้วนึกไปถึงวันที่มันขอติดรถผมมาวันนั้น แค่อยากได้อยู่ไกล้ๆ มันยอมขนาดนี้
เมื่อขับรถไปถึงบ้านมัน ผมก็หายาพารายัดเข้าปากมันซักสองเม็ด แล้วก็จัดแจงพามันไปนอนที่ห้องมันเอง( สภาพบ้านมันเป็นบ้านปูนซีเมนต์ชั้นเดียว หลังเล็ก ดูๆไปก็อบอุ่นดี)   ผมให้มันนอนในสภาพนั้นแหละ ห่มผ้าให้แล้วหาน้ำมาเช็ดหน้า เช็ดตามแขนตามขาให้มัน จะว่าไปเกิดมาไม่เคยทำเลยแบบนี้ แต่แล้วยังไงผมก็ต้องค้างบ้านมันครับ ถ้าจะหนีมันกลับบ้านก็กลัวว่ามันเป็นไรขึ้นมากลางดึก เพราะมันไม่มีใคร มันอยู่บ้านคนเดียว  สรุปผมคงต้อง นอนมันอย่างนี้บนที่นอนมันนั่นแหละครับ ก่อนหน้านี้ตอนที่ผมจัดแจงที่นอนให้มัน ผมเจอกระดาษแผ่นหนึ่ง วางทับอยู่กับผ้าเช็ดหน้าที่ผมยื่นให้มันเช็ดคราบเลือดตอนนั้น ซุกอยู่ใต้หมอน หลังจากที่มันหลับไปแล้วผมเลยเอาขึ้นมาอ่าน ข้อความในกระดาษที่มันเขียนไว้คือ
   " มันน่าแปลกนะ ที่โลกนี้มีคนมากมาย เดินสวนทางกันบนท้องถนนบ้าง สะพานลอยบ้าง <(เออ ผมขอแทรกนิดหนึ่ง แถวบ้านผมไม่มีสะพานลอยน่ะ ไม่รู้ว่ามันไปเดินสวนทางกะใครที่ไหนตอนไหน อิอิ )>  บางคนนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันที่โรงอาหาร หรือแม้แต่ขึ้นรถรับส่งคันเดียวกันไปโรงเรียน ไมผมถึงไม่ไปชอบเค้า ผมมาชอบใครก็ไม่รู้ คนที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อนเลยในชีวิต คนที่อายุห่างกับผม 6-7 ปี ทีแรกผมก็งง ว่าผมชอบพี่แบบไหน แต่เมื่อผมลองถอยกลับมาก้าวหนึ่งแล้วหันกลับไปถามตัวเอง สรุปคือ ผมชอบพี่จริงๆ ผมไม่รู้ว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับโลกใบนี้ อาจเพราะโลกนี้มันบ้า ผมเลยบ้าตามโลก และผมเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ชอบพี่ครับ
   ชีวิตคนเราก็ แค่นี้ มันยากแค่ไหนกว่าจะมีใครซักคนผ่านเข้ามาให้ชอบ นี่เป็นเหตุผลที่ผมต้องบอกพี่ ผมไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้ จบลงโดยที่พี่ไม่รู้ว่าผมคิดยังไง แม้ว่าพี่ไม่คิดอะไรก็ตาม ผมพยายามทำทุกอย่างเพียงเพราะซื้อใจพี่ ผมรู้ว่าพี่คงไม่หันมามองผมหรอก ทำไมพี่ไม่ไปเล่นกีฬาอีกล่ะครับ พี่รู้มั้ยผมคิดถึงพี่ <(คือตั้งแต่วันที่มันติดรถผมกลับบ้าน ผมก็ไม่ได้ไปเล่นกีฬาอีกเลย)> พี่รู้มั้ยผมมานั่งรอพี่จนมืดค่ำที่โรงเรียนทุกวัน เพี่ยงเพราะหวังว่าพี่คงจะแวะมาเหมือนเมื่อก่อน คนอื่นคงหาว่าผมบ้าที่มานั่งตากยุงเล่น แต่สุดท้ายผมก็ผิดหวังเดินก้มหน้ากลับบ้านทุกที "
หลังจากที่อ่านจบ ผมก็น้ำตาซึมๆ เหมือนกัน ผมเลยหันไปมองหน้ามันชัดๆ จริงๆแล้วเด็กคนนี้ หน้ามันดูเศร้าน่ะ ไม่รู้เพราะรูปหน้าหรืออะไรกันแน่ ผมเลยเอามือลูบหัวมันไปทีหนึ่ง
มันหันควับมากอดผมตัวมันร้อนมาก พร้อมละเมอ
" พี่บี อย่าทิ้งเต้ยไปน่ะ อย่าไป อย่าไป "  ละเมอเหมือนจะร้องไห้ จริงๆ ผมอยากแกะมือมันออก ไม่ชอบเลยเวลามีใครมานอนกอดแบบนี้ แต่เมื่อคิดไปแล้ว เด็กคนนี้เหมือนขาดความอบอุ่น นานแค่ไหน ที่มันไม่มีแม่ นานแค่ไหนที่มันไม่ได้เห็นพ่อ นานแค่ไหนที่มันต้องทำอะไรคนเดียว กินข้าวคนเดียว เมื่อคิดได้อย่างนี้น้ำตาผมแทบร่วง ดูๆไปแล้วมันก็เป็นเด็กน่ารัก นิสัยมันดี มันน่าทะนุถนอมขนาดนี้ ทำไมไม่มีใครอยู่เคียงข้างมันเลยทำไมทุกคนต้องทิ้งให้มันอยู่คนเดียวลำพัง ผมเลยตัดสินใจกอดมันกลับไป และพยายามปลอบมัน (อย่างกะมันเป็นลูกเลยทีนี้ _555)
" กูอยู่นี้น้องชาย กูไม่ได้ทิ้งไปไหนเลย กูกอดมึงอยู่นี่ไง " และก็ครั้งแรกที่เห็นหน้ามันยิ้มแบบมีความสุข เป็นยิ้มมุมปาก ที่ไม่รู้สึกตัว เหมือนมันยิ้มอยู่ในความฝัน หรือบางทีมันอาจจะฝันอะไรซักอย่าง ส่วนผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก บอกไม่ถูกจริงๆ แม้จะฝืนใจพูดไปก็ตาม
แต่สรุปแล้ว ผมแทบไม่ได้นอน เพราะ
 1. มันนอนละเมอทั้งคืน บ่นร้อน หนาว ต้องคอยปลอบคอยกอดมันไว้ ไหนจะเช็ดตัว
2.มันฉี่รดที่นอนถึงสองครั้ง (จริงๆไม่ว่าอะไรหรอก เพราะมันป่วยมาก มันคงไม่รู้สึกตัว)
ฉี่ รดครั้งแรกในท่านอนกอดผมครับ มันกอดผมแน่นหลังจากที่ผมปลอบมันจนหลับไป มันทำที่นอนและกางเกงมันเปียกยังไม่พอ มันยังทำกางเกงผมเปียกไปด้วย (เพราะมันเอาขาก่ายผมไว้) ทีแรกผมก็เอะใจ เอ๊ะ อะไรมันร้อนๆว่ะ ที่ไหนได้น้ำฉี่ ผมเลยต้องเปลียนกางเกงให้มัน และต้องเช็ดฉี่ ให้มันด้วย กลัวมันแสบ ไม่สบายตัว 555 ผมเห็นของมันครับ ผมคงไม่บ้าเอามือปิดตาทำนิ้วห่างๆ หรอก 555 มันก็โตแล้วน่ะ แต่ตัวมันเล็ก ผิวมันขาวเนียนทั้งตัวเหมือนผู้หญิง ผมเลยพูดลอยๆออกมา  " น้องมึงนี่จิ้มลิ้มเหมือนหน้ามึงเล้ย 555 "
หลังจากที่ผมเช็ดฉี่ให้มัน เสร็จ ก็หากางเกง boxer ในตู้เสื้อผ้ามันมาเปลียนให้ และผมก็ยังยืมกางเกงมันมาใส่ด้วย เพราะกางเกงผมก็เปียกฉี่มันเหมือนกัน นอกจากนั้นผมก็ยังหาผ้าหนาๆมารองที่นอนที่มันเปียก แล้วให้มันนอนต่อ ส่วนกางเกงทั้งของผมและของมันที่เปียกฉี่ ผมก็เอาไปกองรวมกันไว้ที่ห้องน้ำบ้านมันนั่นแหละ พอตกดึกผมนอนท่าไหนไม่รู้มือผมเผลอไปถูกเป้ามัน ซึ่งมันก็เป็นกางเกง boxer บางๆ เอ๊ะ มันรู้สึกเปียกๆ ผมเลยเอามือขยุ้มคลำเป้ามันไปอีกที ปรากฎว่า มันฉี่อีกแล้วเพราะมันเปียก สรุปไอ้นี่มันฉี่รดที่นอนรอบสอง
และก็เป็น หน้าที่ผมที่ต้องเปลี่ยนกางเกงและเช็ดฉี่ออกจากตัวให้มันอีกรอบ แต่ครั้งนี้ผมไม่ใส่กางเกงให้มันครับ ปล่อยให้มันล่อนจ้อนอยู่อย่างนั้นแหละ สะใจดีนักแล แล้วผมก็ห่มผ้าทดแทนให้มัน 2 ชั้นไปเลย ทีแรกผมก็ว่าจะนอนกับมัน แต่ด้วยผ้าห่มสองชั้น กับที่มันนอนกอดผม (ผมขยับตัวไม่ได้เลย ขยับทีไรมันกอดผมแน่นขึ้นทุกที ซึ่งผมร้อนและอึดอัดมากเพราะ อุณภูมิร่างกายมันร้อน บวกกับผ้าห่มอีก 2 ชั้นและถึงแม้อากาศจะค่อนข้างเย็นก็ตาม) ทำให้คนปกติอย่างผมอยู่ไม่ได้ เลยต้องลุกนั่งเปิดทีวีห้องมันดู แล้วค่อยๆเอาหมอนข้างยัดให้มันกอดแทนตัวผม ปล่อยให้มันนอนกอดหมอนข้างยิ้มไปตามประสาของมัน จะว่าไปมันก็น่ารักน่ากอดดี เด็กคนนี้
ผมนั่งดูทีวีอยู่ข้างๆที่มันนอน นั่นแหละ แต่ผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้ตัวอีกทีคือผ้าห่มมาอยู่ที่ผมทั้งสองผืน ส่วนมัน นอนล่อนจ้อนตัวงอ โอ้ย...ให้ตายแล้วซีกู...ผมรีบห่มผ้ากลับให้มัน นี่ผมแย่งผ้าห่มคนไข้เหรอนี่ เกือบฆ่ามันทางอ้อมแล้วมั้ยล่ะ  แต่พอผมจับตัวมันดู ไข้มันหายแล้ว ตัวมันไม่ร้อนแล้ว ซึ่งผมก็โล่งใจไปด้วย
พอ รุ่งเช้ามันตื่นมันโวยวาย ว่าทำไมมันไม่ใส่เสื้อผ้า พร้อมกับทำท่าเหมือนผู้หญิงในละครนิยายน้ำเน่าที่พึ่งเสียตัวมาหมาดๆ ผมเลยต้องอธิบายให้มันฟังยกใหญ่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องของเรื่องมันเป็นยังไง จนมันเข้าใจ แต่แล้วผมเลยแกล้งถามมันเล่นๆ ว่า ถ้าผมล่วงเกินมันจริงๆ ล่ะ มันกลับตอบว่า ผมยอมเป็นของพี่ครับ พร้อมกับทำเสียงเจ้าเลห์นิดๆ โห ไอ้..ห่...า...ทีตะกี้โวยวายแทบตาย นะมึง นางเอ้ก...นางเอก  อีกอย่างแมนๆ ขี่รถแต่งอย่างมึงเนียน่ะ เอ้อ
" ไอ้เต้ย ... ไหนมึงลองยื่นมือมาดิ "  ผมขอให้มันยื่นมือมา หลังจากที่มันหายออกไปจากห้องพร้อมกับพร้อมกับผ้าห่มและกลับเข้ามาโดยมี เสื้อผ้าแล้ว
" ทำไมเหรอคับพี่ " 
" เออ หน่า ยื่นมาเหอะ " ผมตอบมันไปพร้อมกับดึงมือมันมา
" กูเคยได้ยินมาว่า คนไหน ที่นิ้วนางยิ่งยาวเท่าไหร่ แรงขับทางเพศยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น " ผมพูดกับมันพร้อมกับง้างนิ้วมันไปมา 
" แต่ดูแล้วนิ้วมึงก็สั้นๆ ไม่ได้ยงได้ยาวอะไรเลยนี่หว่า " ผมพูดต่อ
" นี่พี่คิดว่าผมเป็นพวก...บ้ากาา"
" ป้าว ซะหน่อย " ผมพูดตัดหน้า
" กูแค่สงสัย วันนั้นนนน...เออ " ผมพูดเสริม (วันนั้น อ่ะ วันไหนก็ไม่รู้)
" กูหิวละ กูจะกลับบ้าน " ผมตัดบทพร้อมทำท่าจะลุกขึ้น
" งั้นเราไปกินก๋วยเตี๋ยวกันน่ะ ร้านหน้าปากซอย อร่อย " มันชวนผม
" กูจะไปได้ยังไง กูยังไม่ได้อาบน้ำ ชุดกูก็ไม่มีเปลี่ยน " 
" พี่ใส่ชุดผมก็ได้ " มันตอบ พร้อมกับรนรานหาชุดมาให้ผมใส่
สรุป แล้วผมต้องอาบน้ำที่บ้านมัน และใส่ชุดมัน (ชุดที่ตัวใหญ่ที่สุดของมันพอดีกับตัวผมเป๊ะ เพราะผมก็เป็นคนตัวเล็ก) ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวกัน และที่ร้านก๋วยเตี๋ยว ผมสั่งเกาเหลา ส่วนมันสั่งเส้นเล็กน้ำตก ไม่เอาเส้นเยอะ ขณะที่แม่ค้านำชามก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟให้
" กินเส้นเยอะๆ หน่อยซีหนู จะได้ตัวโตๆ " แม่ค้าพูดในขณะเสริฟชามก๋วยเตี๋ยว
" บอกคนไม่กินเส้นให้กินเส้นด้วยซิคับ เค้าจะได้ตัวโตๆ " มันพูดพร้อมกับทำหน้าทะเล้น หันมาทางผม แล้วหัวเราะ ส่วนแม่ค้ายิ้มๆ แล้วเดินกลับไป
จะว่าไปแล้วถ้ามองในอีกมุมหนึ่งมันก็น่ารักดี มันนิสัยดี น่ารัก ไม่ว่ามันจะขี้เล่นยังไง นัยย์ตามันมักแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น จริงใจเสมอ
หลังจากกินก๋วยเตี๋ยวกันเสร็จแล้ว ผมก็ขอให้มันไปส่งที่ซอย* เพื่อที่ผมจะไปเอารถผม และแยกย้ายกันกลับ
   เป็น เมื่อก่อนผมมักคิดเสมอ ผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง แต่ความจริงคือ มันเป็นมาตราฐานที่ถูกตัดสินจากค่านิยมและวัฒนธรรม จริงๆ แล้วจิตใจมันไม่มีเพศ ไม่มีอายุ ไม่มีวรรณะ ถ้ามีอะไรมาสะกิดหรือกระแทกเกราะที่ห่อหุ้มมันให้แตกออกได้ ใจมันจะวิ่งไปเกาะทันที เมื่อมาถึงตรงนี้ผมไม่แปลกใจเลยว่ามันชอบผมเพราะอะไร บางทีมันอาจมีบางอย่างหรือการกระทำบางอย่างของผมไปกระเทาะใจมันก็เป็นได้
น่า แปลกนะครับน้ำตาหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน ใจคนแข็งแค่ไหนเมื่อโดนสะกิดบ่อยเข้า เปลือกที่ครอบอยู่ก็แตกออก ผมรู้สึกชอบไอ้เด็กนี้เข้าแล้ว แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนักหรอกว่าชอบแบบไหน อะไร ยังไงกันแน่ บางทีผมอาจแค่ชอบในสิ่งที่มันเป็น หรือชื่นชมในความเข้มแข็งของตัวมันเอง หลังจากวันนั้นไม่กี่วัน ผมก็กลับมาหางานใหม่ทำส่งตัวเองเรียนเหมือนเช่นเคยพร้อมกันกับไอ้เต้ยมัน เปิดเทอม ม.4 ไอ้เต้ยมันก็ยังโทรหาผมทุกวันเช่นกันมันยังคงคุยสนุกเหมือนเดิม  แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือผมเอง ผมไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญมันเลย ผมกลับชอบในสำเนียงการพูดของมัน ในเรื่องที่มันเล่า ตลกกับมุขของมัน สรุปแล้วผมคงชอบมันมั้งครับ หรือแม้บางทีผมก็เป็นฝ่ายโทรหามัน ไม่ว่าทั้งงานทั้งเรียนจะหนักแค่ไหน ผมไม่เคยเลยที่จะลืมโทรหามัน หรือรับสายมัน
   นับวันเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของผมกับมันก็มากขึ้น เรื่อยๆ ผมไม่กล้าพูดว่ามันเป็นความรักหรอก แต่หลังจากที่ตรึกตรองดูแล้ว มันเหมือนความรักทุกอย่าง เพราะผมห่วงมัน หวงมัน คิดถึงมัน ผมอยากให้มันมานั่งอยู่ข้างๆ แล้วหยอดมุขเก่าๆ ฝืดๆที่มันมักแหย่มาไม่เลิก สรุปแล้วคงเป็นความรักมั้งครับ แม้จะต่างวัยก็ตาม และผมยังเอารูปมันในท่ายิ้มหน้าทะเล้นเป็นภาพพักหน้าจอโทรศัพท์ผมด้วย ไม่ว่าจะดูรูปมันกี่ครั้งก็รู้สึกดีเสมอ แม้มันจะทำหน้าทะเล้นแต่แววตามันกลับเป็นประกายแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น
เวลา ผ่านไปปีกว่า ผมกลับบ้านอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้บอกมันว่าจะกลับ ผมโทรไปแกล้งถามมันว่าปกติไปเล่นกีฬาที่โรงเรียนหรือเปล่า มันตอบว่า ไม่ไปหรอก ม.ปลายแล้วงานเยอะ โน่นนี้เต็มไปหมด ผมเลยทิ้งปริศนาให้มันประโยคหนึ่ง
"ถ้ามึงไม่ไป งั้นกูไปเล่นกับคนอื่นๆ ก็ได้ กูแค่จะโทรมาชวน"  แล้วผมก็วางสายไป
ผม คิดว่ามันคงไม่โง่พอที่จะไม่รู้ ว่าผมกลับบ้านหรอก แต่วันนั้นผมไม่ได้ไปโรงเรียนเพื่อเล่นกีฬานะ ผมไปที่ซอย*  นั้น ยืนดูทุ่งนาต้นกล้าสีเขียว พักเดียวมีรถขับเข้ามา ไอ้เต้ยมันมาครับ(รถคันเดิมของมันนั่นแหละ) และในที่สุด ผมกับมันก็เจอกันอีกครั้ง ผมตัวสั่นสะท้านด้วยความดีใจ ส่วนมันน้ำตาไหลพร้อมกับวิ่งมากอด
" พี่บีครับ ผมคิดถึงพี่มากเหลือเกิน " มันพูดพร้อมร้องไห้ เหมือนเด็กน้อย
" ที่ผ่านมามึงอยู่คนเดียวมาตลอด มึงบอกตัวเองให้เข้มแข็ง และมึงก็เข้มแข็งจริงๆ หลายเรื่องที่ถาโถมเข้ามามันไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับมึงเลย อาจเพราะเท้ามึงที่มันแข็งกว่าหนาม แต่มึงกลับร้องไห้ฟูมฟายเพียงเพราะเรื่องแค่นี้เองเหรอ เด็กน้อย"
 ผม พูดพร้อมกับโอบกอดมันไว้แน่นแต่ในขณะนั้นผมก็ร้องไห้เหมือนกัน ผมจับมันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจูบเบาๆที่หน้าผากของมัน มันหลับตาครับ ส่วนผมลืมตา มันทำให้ผมเห็นหน้าเด็กน้อยที่เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เป็นสาย สะอื้นเบาๆ
มันขึ้นม.ปลายแล้วแต่ยังคงตัวเล็ก เหมือนเดิม ด้วยน้ำเสียง ใบหน้า ท่าทาง น่ารักน่าทะนุถนอมของมันยังคงชวนให้รู้สึกอบอุ่นเหมือนเช่นเคย  จริงๆแล้วผมคิดว่ามันไม่ได้เป็นเด็กขี้แยไรนักหรอก มันออกจะเป็นเด็กที่เข้มแข็งด้วยซ้ำ
สรุปแล้วเย็นนั้นผมกับมันนั่งคุย กันทั้งเย็นจนมันหลับไปในท่าพิงไหล่ผม ผมจ้องใบหน้าเล็กๆ กลมๆของมัน พร้อมกับเอาโทรศัพท์มาถ่ายรูปเก็บไว้ เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากที่มันหลับไป บรรยากาศมันก็เริ่มสลัวแล้วแสงไปนีออนหลอดสุดท้ายที่อยู่สุดซอยติดขึ้นโดย อัตโนมัติ ผมเลยปลุกให้มันตื่น(ตบยุงให้มันไม่ไหว) และมันก็ตื่นมาด้วยท่าทาง
เนื่องจากที่มันหลับไปพร้อมน้ำตา
ผมพามันนั่งดูดาว จริงๆ ไม่ใช่ดูดาวหรอกครับแต่น่าจะเรียกว่าชวนมันหาดาวมากกว่า เพราะมันเป็นเวลาสลัวมันไม่ค่อยเห็นดาว หลังจากนั้นไม่นานผมก็ชวนมันกลับบ้าน จะว่าไปผมอยู่กับมันทุกวันน่ะ (ตอนเย็น) ไปเล่นกีฬาที่ รร. มันก็ไปเล่นด้วย เวลาผ่านไปอาทิตย์หนึ่ง ผมก็ต้องกลับไปทำงานกลับไปเรียนเหมือนเดิม ซึ่งวันก่อนที่ผมจะกลับ ผมกับมันก็ไปคุยไปเล่นกันที่ซอยนั้นเหมือนเดิม ดูๆแล้ววันนี้มันไม่ค่อยสนุกเหมือนทุกวัน อาจเป็นเพราะมันรู้ว่าพรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้ว
" พี่ บีครับ พี่กลัวผีมั้ย " มันถามผม
" ถามอะไรแปลกๆ กูก็กลัวซี กูกลัวทุกคนที่ตายแล้วกลายเป็นผี " ผมตอบ
" ถ้าวันหนึ่งผมตายแล้วกลายเป็นผี พี่จะยังกลัวผมอีกมั้ย " มันถามซ้ำ
" กลัวมั้ง " ผมตอบมัน แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะถามมันกลับบ้าง
" แล้วถ้ากูตาย กลายเป็นผีล่ะ มึงจะกลัวกูมั้ย " ผมถาม
" ผมไม่กลัวหรอก เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่าพี่คงไม่ทำไรผมหรอก เพราะผมรู้ว่าพี่รักผม 555 "
" คิดไปเองนะมึง แต่... กูก็รักมึงจริงๆ ด้วยแหละ 55 "  ผมตอบกลับไป
" พี่บี ยื่นมือมาหน่อยดิ " มันถามพร้อมกับดึงมือผมไป
" แฮะๆๆ จะดูว่านิ้วดูยาวแค่ไหนอะเหรอ กูไม่ใช่พวกที่มีแรงขับทางเพศสูงนะเว้ย 55" ผมตอบมันไป เพราะนึกว่ามันจะขอดูนิ้วผม เหมือนที่ผมขอดูนิ้วมันตอนนั้น แต่หลังจากที่ผมตอบมันไป มันไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยิ้มๆ แล้วมันก็ล้วงเอาสิ่งหนึ่งในกระเป๋ากางเกงออกมา มันเป็นแหวนครับ แหวนเงินธรรมดา ไม่มีราคาอะไรหรอก แต่แหวนนั้นถูกสลักชื่อไว้ว่า  " TOEY "  มันสวมลงมาที่นิ้วผม น่าแปลกที่แหวนนี้มันเข้ากับนิ้วผมได้พอดี
" พี่บี พี่รู้ไรมั้ย ปกติแล้วเต้ยไม่ค่อยได้ไปเล่นที่โรงเรียนตอนเย็นๆ เท่าไหร่หรอก แต่มีอยู่วันหนึ่งที่เต้ยไป จริงๆแล้วเต้ยกะว่าจะเอาโทรศัทพ์ไปโหลดเพลงแล้วก็กลับ แต่วันนั้นเต้ยเห็นพี่ชายคนหนึ่ง ท่าทางเค้าดูนิ่งๆ ไม่ค่อยพูด แต่พี่เค้าดูเป็นคนใจดี เวลาคุยกะใครพี่เค้ามักมีรอยยิ้มให้เสมอ ดูแล้วเค้าดูอบอุ่นเหลือเกิน "
" เต้ยเป็นของพี่แล้วนะ แหวนนี้แทนตัวเต้ย ไม่ว่าพี่จะอยู่ที่ไหน เต้ยจะอยู่กับพี่เสมอ " มันพูดพร้อมกับทำหน้าทะเล้นแล้วอมยิ้ม
" น้ำเน่า " ผมพูดออกมา พร้อมกับน้ำตา ผมไม่ได้ต้องการจะร้องไห้ แต่ผมกลั้นไว้ไม่อยู่
ไอ้ เต้ยมันยิ้มพร้อมจับมือผมยกขึ้นแล้วเอาหน้ามันแนบติดกับมือผมไว้ ตอนนั้นน้ำตาผมใหลเป็นสายแล้วครับ มันซึ้งเหลือเกิน ซึ้งกับคำพูดของมัน ซึ้งกับทุกการกระทำของมัน
เด็กตัวเล็กๆที่บริสุทธิ์เสมอในสายตาผม
จาก นั้นมันเงยหน้าขึ้นพร้อมเขย่งเท้ายืดตัวขึ้นมาเพื่อหอมแก้มผม แต่จังหวะนั้นผมกะจะล็อกตัวมันไว้ โดยการกอดมันแน่นติดกับตัวผม เลยทำให้ทั้งผมและมันล้มลงครับ และท่าล้มก็ไม่ได้น้ำเน่าเหมือนในนิยายด้วย ผมล้มทับตัวมัน หัวมันกระแทกหินดังป๊อก แต่ยังโชคดีที่ผมเอามือรองหัวมันไว้ข้างหนึ่ง ไม่งั้นมันได้เจ็บกว่านี้
" โอ๊ะ..โอ้ย.."  มันร้องออกมา
" พี่ขอโทษ " นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำว่าพี่กับมัน แต่มันก็ยิ้ม
และหลังจากที่ลุกขึ้น
" ผมเชื่อแล้วว่าพี่รักผมจริง ๆ " มันพูดพร้อมกับเป่าหลังมือผมที่ถลอก เนื่องจากที่ผมเอามือรองหัวมันไว้
" พี่บี เรากลับกันเถอะ ผมจะทำแผลให้ "
หลังจากนั้นผมก็พามันกลับบ้าน (บ้านมัน) เต้ยมันยกกล่องยามาทำแผลให้ผม ส่วนผมก็เอาน้ำแข็งประคบหัวให้มัน
วัน ต่อมาผมต้องกลับไปทำงานแล้ว (ผมลางานมา แต่มหาลัยยังปิดอยู่) มันไม่ได้มาส่งผมครับ มันไปโรงเรียน ทีแรกมันจะขาดเรียน แต่ผมไม่ยอม เมื่อผมกลับมาทำงานได้สองมันไม่ได้โทรหาผมครับ และผมก็เหนื่อยจากงานไม่ได้โทรหามันเหมือนกัน วันนั้นผมเช็คข้อความมีข้อความที่ถูกส่งเข้ามาแล้วตั้งแต่ 3 วันที่แล้ว (วันที่ผมกลับ) ใจความว่า " ผมคิดถึงพี่จัง วันนี้พี่กลับแล้ว เมื่อไหร่พี่จะกลับมาหาผมอีกน่ะ กลับมาเร็วๆนะครับ .... Toey " เมื่ออ่านแล้วก็ทำให้ผมยิ้มได้ จากนั้นผมกดโทรศัพท์โทรไปหามัน แต่ไม่ติด คิดว่าแบตมันคงหมดมั้ง
วันที่สามมีสายเข้าแต่ไม่ใช่เบอร์มือถือที่โทรมา เมื่อผมรับสาย ปลายสายเค้าถามว่า ผมเป็นญาติของไอ้เต้ยหรือเปล่า ผมตอบว่าใช่ (ตอนนั้นผมเริ่มใจไม่ดี สั่นสะท้านไปทั้งตัว) ปลายสายเค้าพูดว่าเค้าโทรมาจากโรงพยาบาล เนื่องด้วยเด็กเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน อาการสาหัส ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล... เค้าพูดแค่นี้ ตัวผมอ่อนระทวยไปทั้งตัว นิ่งอยู่เกือบนาที เมื่อตั้งสติได้ ผมรีบสพายกระเป๋า(ประจำตัว) แล้วกลับต่างจังหวัดทันที ระหว่างทางผมคิดมาก คิดมากจนแทบไม่มีสติเลย
เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน ผมก็รีบไปที่โรงพยาบาลนั้นทันที ไอ้เต้ยมันอยู่ที่ห้องไอซียูครับ
สภาพ มันตอนนั้น ถูกสวมไว้ด้วยเครื่องช่วยหายใจ หน้าอกถูกพันไว้ด้วยผ้าก๊อต ผมเดินเข้าไปนั่งข้างมันแล้วจับมือมันไว้ ผมร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสาย ผ่านไป 3 ชั่วโมง มันลืมตาขึ้นมามันพยายามจะถอดเครื่องช่วยหายใจออกเพื่อจะพูดอะไรซักอย่าง แต่ผมจับมือมันไว้ไม่ให้มันทำ ซึ่งมันน้ำตาไหลส่ายหัวเบาๆ เป็นนัยๆ ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร มันคงไม่ไหวแล้ว
สุดท้ายผมต้องยอมมัน
" พี่ ผมรักพี่น่ะ ผมไม่ได้อยากปล่อยมือพี่ ผมไม่ได้อยากจากพี่ไปไหน " มันพูดเสียงเอื่อย เหมือนคนไม่มีแรง พร้อมกับที่มันจับมือผมไปแนบไว้กับหน้าอกมันตรงที่หมอพันผ้าก๊อตไว้
" แต่พี่เห็นมั้ย มันไม่เป็นใจให้ผมอยู่ ผมไม่รู้ว่าพี่จะยังกลัวผมหรือเปล่า ถ้าผมตาย แต่พี่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมจะไม่มาหลอกพี่ " มันพูดพร้อมกับทำท่าจะหัวเราะ แต่หัวเราะไม่ออก แล้วมันก็จับมือผมไปแนบไว้ที่แก้มมันอีกครั้ง
ผมเอาแต่ร้องให้ พูดไรไม่ออก มันพยายามบอกให้ผมเข้มแข็งเหมือนที่ผมเคยสอนมัน
ผ่านไปไม่กี่นาที ร่างกายมันกระตุก พร้อมละเมอเหมือนคนไม่มีสติ
" พี่กลับมาหาผมเร็วๆน่ะ ผมจะรอ " มันพูดเหมือนตอนที่มันคุยโทรศัพท์กับผม
มัน ละเมอพูดแค่ไม่กี่ประโยค ทุกอย่างก็แน่นิ่งไป พร้อมกับหน้าจอมอนิเตอร์ เส้นหัวใจกลายเป็นเส้นตรง แล้วมือที่มันจับผมไว้แน่นก็คลายลง
 พวก พยาบาลวิ่งกรูเข้ามาในห้อง พร้อมบอกให้ผมถอยไป ผมลุกขึ้นเดินถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ผมเหมือนคนไม่มีสติ ยืนมองหมอที่พยายามช่วยชีวิตใครคนหนึ่ง แต่ก็ไร้ผล
เด็กน้อยมันจากผมไป แล้วอย่างไม่มีวันกลับ มันเคยบอกผมว่ามันจะไม่จากไปไหน แต่ทำไมวันนี้มันกลับปล่อยมือผม มันเอาหัวใจมาแลกกับผมแล้วตัวมันก็จากไป
ประมวลภาพทุกภาพมันผุดขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง เด็กน้อยคนหนึ่งที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อซื้อใจผม
เด็กน้อยคนหนึ่งขี้เล่น หน้าทะเล้น แต่นัยย์ตาแฝงไว้ด้วยประกายความอุ่น
มัน จะยังคงโกรธผมอยู่มั้ย ที่วันนั้นผมด่ามันแรงเกินไป มันจะยังคงโกรธผมอยู่มั้ยที่วันนั้น ผมปล่อยให้มันวิ่งกลับบ้าน ทั้งๆที่มันต้องวิ่งกลับไปอีกไกลมากโข
มันโกรธผมมั้ยที่ผมปล่อยให้มันรอ ตากน้ำค้างจนไข้ขึ้น มันยังคงโกรธผมมั้ยที่ผมไม่ยอมไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาล ทั้งๆที่ไม่มีใครเฝ้าไข้มันเลย มันยังคงโกรธผมมั้ยที่ผมเคยด่ามันว่าไอ้เด็กเฮงซวย มันยังโกรธผมมั้ยในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมแทบไม่เคยพูดกับมันเพราะๆกับมันเลย เลย
ตอนนี้ผมกลับเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ร้องไห้หามัน กลับเป็นผมที่ต้องพูดว่า อย่าทิ้งกูไป
ลุก ขึ้นมากอดกูหน่อยเหมือนที่กูเคยกอดมึง ซักครั้งยังดี ให้กูรู้ว่ามึงยังอยู่ข้างๆ เช็ดน้ำตาให้กูหน่อยเหมือนที่กูเคยเช็ดตัวให้มึงตอนที่มึงไม่สบาย ปลอบกูหน่อยเมื่อยามกูเหงา เหมือนที่กูเคยปลอบมึงว่า กูอยู่นี่ กูไม่ได้จากมึงไปไหนเลย  วันนั้นกูเฝ้าไข้มึงทั้งคืน กูไม่ได้หนีมึงไปไหน แต่ทำไมวันนี้มึงกลับหนีกูไปอย่างไม่มีวันกลับ เต้ยมึงปล่อยมือกูทำไม?

lotto432-1